30 บาทรักษาทุกโรค'ยุคยิ่งลักษณ์ สุดห่วย!
'หมอ'แฉลดคุณภาพยา-ห้ามรักษาเกิน 700 บาท
ตีแผ่ปมปัญหาโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค
จากรัฐบาลทักษิณ ถึง
รัฐบาลยิ่งลักษณ์
ชินวัตร แม้ผ่านมา 10 ปี
กลับพบความห่วยของระบบประกันสุขภาพเพิ่มขึ้น
วงการแพทย์สุดทนแฉ!
เหตุงบรายหัว
30
บาทถูกตัด
ส่งผลให้ต้องลดคุณภาพยา-สั่งหมอรักษาต่อรายห้ามเกิน
700 บาท
กระทั่งส่งต่อผู้ป่วยให้เป็นภาระโรงพยาบาลขนาดเล็ก
ระบุธรรมาภิบาลของผู้บริหาร
โรงพยาบาลขนาดใหญ่ทั้ง กทม.และต่างจังหวัด
ติดลบ
ใช้วิธีคุมงบด้วยการส่งต่อคนไข้และเป็นต้นเหตุผู้ป่วยตาย! ขณะที่
สปสช.
ดึงงบรักษาไปใช้ผลิตแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว เชื่อไม่เกิน 10
ปีหลักสูตรนี้ล้มเหลว!
แต่หลังจากมี พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
พ.ศ. 2545
และเริ่มบังคับใช้ในวันที่
19 พ.ย. 2545 ผลปรากฏว่านโยบาย
บัตรทองประกันสุขภาพมีปัญหากระท่อนกระแท่นมาโดยตลอด
จวบจนวันนี้ผ่านมาแล้ว 10 ปี
โครงการประกันสุขภาพก็ยังมีปัญหาที่หนักหน่วง
โดยเฉพาะเรื่องการเข้าถึงสุขภาพที่ไม่ได้คุณภาพ
และโรงพยาบาลบางแห่งถึงกับมีปัญหาเรื่องธรรมาภิบาลอย่างหนัก
แม้กระทั่ง
"หมอ" เองก็รับไม่ได้กับปัญหาในขณะนี้!
ปัญหาบางอย่าง ประชาชนที่เข้ารับบริการ
การใช้บัตรทองประกันสุขภาพนั้นไม่มีทางที่จะรู้ว่ากำลังได้รับบริการที่ไม่เหมาะสม
แถมปัญหาหลายๆ
อย่างกำลังเป็นปัญหาที่หนักที่ยังคงรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
บัตรทองประสุขภาพมีปัญหาทุกระดับ
โดยแพทย์จากโรงพยาบาลโพธาราม
จังหวัดราชบุรี กล่าวว่า โครงการ
บัตรทองประกันสุขภาพมีปัญหาในทุกระดับ
เริ่มตั้งแต่ ตัวคนไข้,
นโยบายรัฐ,
แพทย์
และโรงพยาบาล
สำหรับโครงการ บัตรทองประกันสุขภาพนั้น
เป็นนโยบายที่ทำให้ประชาชนมาโรงพยาบาลจำนวนมาก
เพราะคิดว่าถ้ามาโรงพยาบาลอย่างไรก็จะได้ยารักษาโรคง่ายๆ
ทำให้ประชาชนไม่ดูแลสุขภาพ
เมื่อรับยาได้ง่ายๆ
ก็ไม่ได้เห็นความสำคัญของยา
มีการใช้ยาอย่างทิ้งๆ ขว้างๆ
จึงเรียกได้ว่านโยบายป้องกันสุขภาพของทางรัฐบาลล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
คือประชาชนไม่สนใจป้องกันสุขภาพ
ทำให้ประชาชนมาโรงพยาบาลแม้จะเป็นโรคเล็กๆ
น้อยๆ ทำให้โรงพยาบาลต่างๆ
ต้องแบกรับภาระคนไข้จำนวนมาก
การรักษาจึงเกิดความผิดพลาดได้ง่าย
เมื่อเกิดความผิดพลาดก็เกิดการฟ้องร้องจำนวนมาก
โดยเฉพาะโรงพยาบาลจะถูกต่อว่าว่ามีการบริการไม่ดี
มีความแออัด
"นโยบายป้องกันโรคล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
รัฐบาลต้องการให้เห็นภาพคนในโรงพยาบาลมีจำนวนไม่เยอะ
แต่สุดท้ายมันเป็นเพียงภาพลวงตา
เพราะแค่กระจายคนไข้ไปหน่วยอื่นๆ
คนไข้เท่าเดิม
หมอก็เท่าเดิม แค่เดินทางไปสถานที่อื่นเท่านั้น"
กรณีนี้เป็นปัญหามาอย่างยาวนาน
พอมาในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์
จึงหาวิธีแก้ปัญหาด้วยการมีนโยบายให้ผู้ป่วยไปรักษาที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล
(รพ.สต.) หรือสถานีอนามัยเก่า นั่นเอง
"เบาหวาน-ความดัน"ต้องไปรพ.ปฐมภูมิก่อน
โดยแนวคิดนั้นเป็นแนวคิดที่ดี
ที่จะให้คนไข้ไปรักษาที่หน่วยปฐมภูมิและมีการคัดกรองคนไข้ให้ลดลงก่อนที่จะส่งมาโรงพยาบาลทุติยภูมิ
และตติยภูมิ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว รพ.สต.นั้นปัญหาคือไม่มีแพทย์ประจำ
คนไข้จะต้องไปเฉพาะวันที่แพทย์เข้าเวรเท่านั้น
ส่วนวันอื่นๆ
หรือคนไข้ที่เป็นโรคทั่วๆ
ไป จะให้พยาบาลเป็นผู้รักษาเบื้องต้น
"ปัญหาคือคนป่วยที่เป็นโรคต่อเนื่องอย่างเบาหวาน
ความดัน
ก็ต้องออกมารักษาที่
รพ.สต.ทั้งคนไข้เก่าและคนไข้ใหม่
หากอาการหนักถึงจะมีการส่งตัวไปโรงพยาบาลที่ใหญ่ขึ้น
แต่ผลปรากฏว่าได้ผลไม่ดีนัก
เพราะแพทย์ไม่ใช่แพทย์เฉพาะทาง
ซึ่งคนไข้เดิมนั้นรักษากับแพทย์เฉพาะทางอยู่
แต่พอต้องออกมารักษา รพ.สต.
ที่แพทย์จะผลัดเวรกันมา
รวมกับจำนวนผู้ป่วยที่มารักษาโรคในระดับปฐมภูมิที่มีจำนวนมากอยู่แล้ว
ทำให้การรักษาแบบตรวจละเอียด
โดยเฉพาะโรคเบาหวานที่ต้องเจาะเลือดนั้น
ทำได้ไม่เต็มที่"
ในส่วนของแพทย์เองนั้น
พบว่าแพทย์ก็ไม่ได้อยากมาประจำที่
รพ.สต.เนื่องจากแพทย์ตามโรงพยาบาลใหญ่ๆ
ในเวลานี้ส่วนมากเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
"อย่างแพทย์ศัลยกรรมกระดูก
ก็ไม่อยากไปเข้าเวรที่ รพ.สต.
เพราะเมื่อไปเข้าเวร
ตัวเองเป็นแพทย์กระดูก
แต่ต้องไปรักษาโรคพื้นฐานทั่วไปก็ไม่ได้ใช้ความสามารถของตัวเอง
อีกทั้งให้แพทย์เฉพาะทางอย่างแพทย์กระดูกไปตรวจเป็นแพทย์ทั่วไป
ตรงนี้ก็เป็นการหลอกประชาชน
ถือเป็นความยากลำบากในการบริหารจัดการแพทย์ทั้งระบบ
เพราะคนในโรงพยาบาลต่างจังหวัดก็มีน้อยอยู่แล้ว"
สั่งหมอรักษาต่อหัวไม่เกิน700บาท-ลดคุณภาพยา
นอกจากนี้ยังพบว่าปัญหาสำคัญที่สุดตั้งแต่มีโครงการ 30
บาทรักษาทุกโรคตั้งแต่รัฐบาลทักษิณ
ต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์
ชินวัตร
เป็นนายกรัฐมนตรี
คือเรื่องของการบริหารจัดการงบประมาณที่โรงพยาบาลต่างๆ
จะต้องบริหารเอง
ในส่วนนี้มีทั้งโรงพยาบาลที่ดี
และโรงพยาบาลที่ไม่มีธรรมาภิบาล
"ค่าใช้จ่ายรายหัวกำลังเป็นปัญหามาก
เพราะค่าใช้จ่ายที่รัฐบาลให้คิดเป็นรายหัว
ไม่ได้คิดตามการรักษาเป็นครั้งๆ
ดังนั้นเมื่อเหมาจ่ายไปแล้ว
ถ้าคนไข้มารักษาแบบ
OPD หรือผู้ป่วยนอก
บ่อยๆ โรงพยาบาลก็ขาดทุน
โรงพยาบาลก็ต้องพยายามดึงคนให้มาอยู่ในเขตการรักษาให้มากขึ้น
เพื่อเพิ่มงบบริหารจัดการของโรงพยาบาล"
ทั้งนี้
จากการที่เคยเป็นแพทย์อยู่ในหลายท้องที่
กลับพบปัญหาใหญ่อีกอย่างหนึ่งคือ
ตัวเลขประชาชนที่ขึ้นทะเบียนกับโรงพยาบาลในพื้นที่ต่างๆ
ก็พบว่าเป็นตัวเลขหลอก
"ตัวเลขหลอกคืออย่างในบางพื้นที่
เช่นภาคอีสาน
มีจำนวนคนอยู่ในเขตนี้จำนวนมาก
ทำให้ค่าใช้จ่ายรายหัวกระจุกตัวอยู่มาก
แต่คนไปรักษาพยาบาลจริงน้อย
เพราะคนภาคอีสานไม่ได้อยู่ในถิ่นฐานมากนัก
ไม่เหมือนกับภาคอื่นๆ
โดยเฉพาะภาคกลาง ที่มีจำนวนคนอยู่จริงในพื้นที่พอๆ
กับตัวเลขที่แท้จริง
ปัญหาก็เลยเกิดว่าโรงพยาบาลในภาคกลางนั้นมีสภาพคล่องในการใช้จ่ายเงินต่ำ
เรียกว่ายิ่งคนไข้
visit มากยิ่งขาดทุนมาก"
ปัญหานี้ทำให้โรงพยาบาลต้องปรับตัวแก้ปัญหาเอง
โรงพยาบาลที่ดีมีจรรยาบรรณก็จะพยายามรักษาคนไข้ให้ดีที่สุดในงบประมาณตึงตัว
แต่หลายโรงพยาบาลกลับพบว่าไม่ได้รักษาจรรยาบรรณ
โดยมีทั้งการลดคุณภาพยา
การผลักไสคนไข้ให้กลับไปรักษาโรงพยาบาลต้นทางแทน
"โรงพยาบาลดีๆ
ก็จะยอมขาดทุนโดยเอายาคุณภาพดีๆ มารักษาคนไข้
แต่หลายโรงพยาบาลทำน่าเกลียด
โดยที่รู้มาโรงพยาบาลระดับโรงพยาบาลศูนย์ได้มีคำสั่งภายในให้หมอรู้กันเองว่า
ถ้าคนไข้คนไหนมีค่ารักษาพยาบาลเกินหัวละ
700
บาทเมื่อไร
ให้กลับไปรับยาที่เหลือในโรงพยาบาลปฐมภูมิ
หรือทุติยภูมิแทน
แทนที่คนไข้จะได้รับยาจากโรงพยาบาลใหญ่ๆ
1
เดือนก็ได้ยาไม่ถึง 1 เดือน
ตรงนี้เป็นเทคนิคที่มีการทำกันมาก"
รพ.ในกทม.จ่ายยาคุณภาพต่ำกว่าต่างจังหวัด
ส่วนคนไข้ที่โรงพยาบาลทั่วไปรักษาไม่ได้
เมื่อส่งไปให้โรงพยาบาลศูนย์ผ่าตัดเสร็จ
ก็มีการให้กลับไปรับยาในโรงพยาบาลที่เล็กกว่า
หรือโรงพยาบาลเดิมในแม่ข่าย
เพื่อที่โรงพยาบาลใหญ่จะได้ประหยัดงบประมาณรายหัว
เป็นต้น
"มันไปเสียหายที่คนไข้
บางคนได้ยาไปแค่ 2 เม็ด
เสร็จแล้วต้องไปขอยาโรงพยาบาลเล็กกว่าแทน
ลักษณะนี้เป็นการบริหารจัดการภายในเมื่อเห็นว่าจะขาดทุน
ก็ใช้เทคนิคในการหลบเลี่ยง"
อย่างไรก็ดี
แม้โรงพยาบาลในต่างจังหวัดจะมีข้อจำกัด
แต่กลับพบว่าปัญหาโรงพยาบาลในเขตกรุงเทพมหานครน่าเป็นห่วงมากกว่า
"พื้นที่ในเขต กทม.นั้น
มีการกระจายการรักษาที่น้อยกว่า
มีการกระจุกตัวมากกว่า
การเข้าถึงการรักษาพยาบาลทำได้น้อยกว่าโรงพยาบาลในต่างจังหวัด
ที่สำคัญเนื่องจากคนไข้มีจำนวนมากและกระจุกตัวตามโรงพยาบาลใหญ่ๆ
ทำให้มาตรฐานคุณภาพยาที่ให้คนไข้ยิ่งต่ำกว่าโรงพยาบาลในต่างจังหวัด"
ฟันธง"เวชศาสตร์ครอบครัว"อีก 10 ปีล่ม
ขณะเดียวกันการที่กระทรวงสาธารณสุข
มีนโยบายให้ประชาชนไปรักษาพยาบาลที่หน่วยปฐมภูมิมากขึ้นนั้น
เป็นเพราะมีการผลักดันหลักสูตรแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว
เพื่อให้แพทย์เหล่านี้ที่จบออกมาไปดูแลโรงพยาบาลในชุมชน
ตามหลักการแล้วเป็นเรื่องที่ดี
มีหน้าที่หลักในการแนะนำประชาชนให้รู้จักป้องกันโรค
แต่ข้อเสียก็มีเพราะ
แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวถ้าเจอเคสที่ยากๆ
อาจจะได้แค่วินิจฉัยว่าน่าจะเป็นโรคร้าย
แต่ก็ไม่สามารถตรวจอย่างละเอียดได้ว่าเป็นจริงหรือไม่
ต้องส่งคนไข้ให้แพทย์เฉพาะทางในโรงพยาบาลใหญ่ๆ
เป็นผู้วินิจฉัยอีกที
ดังนั้น
หากแพทย์ดังกล่าวเจอคนไข้ที่เป็นเคสร้ายแรง
ก็อาจจะทำการรักษาไม่ทันการได้เช่นกัน
ซึ่งปัญหานี้น่าเป็นห่วง
โดยหลักสูตรแพทย์ประจำบ้านสาขาเวชศาสตร์ครอบครัวนี้
เป็นหลักสูตรอบรมแพทย์ที่เรียนจบแพทย์มา
6
ปีแล้วมาต่อยอดเรียนเป็นหลักสูตรเวชศาสตร์ครอบครัวอีก
3 ปี
ซึ่งหลักสูตรนี้เป็นหลักสูตรความร่วมมือของกระทรวงสาธารณสุข
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
(สปสช.)
และราชวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว
ซึ่งแพทย์ที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับค่าทดแทน
และหลังเรียนจบต้องไปปฏิบัติงานที่หน่วยบริการปฐมภูมิ
โดยมีเป้าหมายเพิ่มการผลิตแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวรายใหม่ปีละ
200 ราย
เป็นระยะเวลา
5 ปี
ซึ่งจะสามารถเพิ่มแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวได้ 1,000 คน
ที่สำคัญแพทย์ที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับค่าตอบแทนเพิ่มจากที่ได้รับในระบบปกติ
ปีที่หนึ่ง
10,000
บาท/คน/เดือน ปีที่สอง 20,000 บาท/คน/เดือน
และปีที่สาม
30,000
บาท/คน/เดือน
และต้องกลับไปใช้ทุนที่ต้นสังกัดเดิมอย่างต่ำ
3 ปี
โดยหลักสูตรนี้เริ่มมาตั้งแต่ปี
พ.ศ. 2552
ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุข พบว่า
หลักสูตรนี้มีปัญหาใหญ่คือไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
เป็นวิธีการที่ผิด
ไม่มีทางเป็นไปได้
อีกทั้งเป็นการฝืนธรรมชาติของคนที่เป็นหมอ
"รพ.สต.ปัจจุบัน
ให้พยาบาลเวชปฏิบัติตรวจรักษาคนไข้ในโรคพื้นฐานได้อยู่แล้ว
ถ้ารักษาไม่ได้ก็ส่งต่อไปโรงพยาบาลใหญ่ขึ้น
แต่ทำหลักสูตรนี้ขึ้นมา
ก็ปรากฏว่าไม่มีคนเรียน
เพราะไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมของคนที่เป็นหมอ"
แหล่งข่าวจากกระทรวงสาธารณสุข อธิบายอีกว่า
นโยบาย
บัตรทองประกันสุขภาพได้มีการจัดระบบการบริการสุขภาพเป็น
3 ระดับ
คือ
ปฐมภูมิ
ทุติยภูมิ และตติยภูมิ
โดยแต่เดิมสถานีอนามัยนั้นถือเป็นหน่วยงานที่ต้องรักษาคนไข้ที่ไม่มีภาวะซับซ้อน
ไม่มีภาวะวิกฤต
ถ้าไม่ไหวค่อยส่งไปโรงพยาบาลใหญ่ขึ้น
และถ้าไม่หายก็จะมีการเชิญแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาเป็นระยะ
เช่นอาทิตย์ละ 1-2
วัน
ที่เหลือให้พยาบาลเวชปฏิบัติตรวจไปได้
เมื่อมีการปรับมาเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบาล
(รพ.สต.)
จึงได้มีการดึงหมอไปอยู่กับคนไข้ที่ไม่ได้มีเคสที่ป่วยหนักทุกวัน
จึงเป็นเรื่องที่ไม่คุ้มค่าอย่างยิ่ง
ที่สำคัญเกี่ยวข้องกับเรื่องของศักดิ์ศรีของความเป็นแพทย์
เพราะแพทย์ทุกคนอยากพัฒนาสู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญ
เช่นถ้าเปรียบเทียบกับเวชศาสตร์ครอบครัวกับเวชศาสตร์ป้องกัน
แขนงระบาดวิทยา
เรียน 3
ปีเท่ากัน
หมอก็อยากเรียนในหลักสูตรเวชศาสตร์ป้องกัน
แขนงระบาดวิทยา มากกว่า
เพราะถ้าไม่มีเวลาก็ทำงานไป
สามารถสอบขึ้นทะเบียนและเรียนทางไกลได้
แต่ถ้าหลักสูตรเวชศาสตร์ครอบครัว
เหมือนให้หมอมาเริ่มต้นเรียนใหม่
เสียเวลา
แถมผลิตได้ปีละแค่ 50 คน
"ซ้ำยังมีการให้เงินเดือนคนละ
10,000-30,000 บาทต่อคนต่อเดือน
ตามชั้นปีที่เรียน
เงินจำนวนนี้ก็คือเงินจูงใจให้มาเรียน
แต่กลับพบว่าเป็นเงินในกองทุนหลักประกันสุขภาพนั่นแหละ
แทนที่โรงพยาบาลต่างๆ
จะเอางบส่วนนี้ไปบริหารได้
ก็ต้องแบ่งสันมาให้แพทย์เรียนหลักสูตรเวชศาสตร์ครอบครัว
ซึ่งดูแลไม่เกิน
10 ปี หลักสูตรนี้จะต้องพัง เพราะมันหลงทาง" แหล่งข่าวระบุ
ตัดค่าใช้จ่ายรายหัว-ไม่หนุนงบเครื่องมือแพทย์
นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ
ประธานแพทย์ชนบท กล่าวว่า
เห็นด้วยกับการแบ่งการรักษาเป็น
3
ระดับคือการรักษาแบบปฐมภูมิ ทุติยภูมิ
และตติยภูมิ
โดยจะมีการส่งต่อโดยให้ผู้ป่วยไปหาหมอที่สถานีอนามัยช่วยกลั่นกรองคนไข้ที่อาการไม่หนัก
เป็นการแบ่งเบาภาระโรงพยาบาลใหญ่ๆ
หรือในต่างจังหวัดก็เป็นโรงพยาบาลตำบล
โรงพยาบาลอำเภอหรือโรงพยาบาลชุมชนก่อน
ถ้ารักษาไม่ได้ค่อยส่งต่อไปโรงพยาบาลชุมชน
แล้วส่งต่อไปโรงพยาบาลจังหวัด
หรือโรงพยาบาลศูนย์ประจำภูมิภาคนั้นๆ
โดยคิดง่ายๆ แบ่งหมอเป็น 3 ระดับ ได้แก่
หมอจบปริญญาตรี
หมอจบปริญญาโท
และหมอจบปริญญาเอก จะอยู่ในโรงพยาบาลที่ต่างกัน
หมอจบปริญญาตรีก็ควรอยู่ในหน่วยปฐมภูมิ
เพื่อรักษาคนไข้อาการพื้นฐาน
ส่วนหมอจบปริญญาโทก็ดูแลคนป่วยในเคสที่ยากขึ้นไปอีก
เช่น
อายุรศาสตร์ทางยาทั่วไป
เช่นโรคหัวใจ สูตินรีเวช เด็ก กระดูก
และหมอระดับปริญญาเอกรักษาโรคอายุรศาสตร์โรคเฉพาะทาง
เช่นโรคหัวใจ
โรคมะเร็ง
โรคระบบประสาททางด้านสมอง เป็นต้น
ซึ่งหมอระดับปริญญาเอกก็จะอยู่ในโรงพยาบาลศูนย์เป็นหลัก
"ระบบนี้เป็นระบบกลั่นกรองคนไข้
ไม่ให้คนไข้มากระจุกตัวอยู่กับหมอ
หรืออาจารย์หมอเท่านั้น
ซึ่งเป็นระบบที่ดี"
ทั้งนี้
สิ่งที่เป็นห่วงคือการดูแลเรื่องงบประมาณด้านสุขภาพของรัฐบาล
โดยทุกวันนี้ต้องยอมรับว่างบประมาณรายหัวของประชากรในระบบ
30
บาทนั้น
ถือว่าคิดตามความเป็นจริงมากกระทั่งเกิดความตึงตัวในการบริหารงบประมาณของโรงพยาบาลหลายๆ
แห่ง
ซึ่งต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับงบในการรักษาพยาบาลของข้าราชการที่ตกอยู่ที่ประมาณ
8,000 บาทต่อหัว ซึ่งมากกว่าระบบ 30 บาทกว่า 4 เท่า
"โรงพยาบาลพอเห็นว่าเป็นเงินจากกองทุนข้าราชการ
ก็จะมีการคิดราคาเกินความเป็นจริง
เพื่อเอางบมาไว้ที่โรงพยาบาลจำนวนมาก
ก็ไม่เคยมีใครตรวจสอบราคาการรักษาที่แท้จริง
ทำให้มีงบประมาณการรักษาที่แพงเกินจริงไปมาก"
ขณะที่งบประมาณรายหัวของโครงการบัตรทองประกันสุขภาพถ้วนหน้าการคำนวณกันอย่างดี
แต่กลับถูกรัฐบาลปรับลดเนื่องจากปัญหาน้ำท่วมเมื่อปีที่ผ่านมา
โดยค่าใช้จ่ายรายหัวที่รัฐบาลอนุมัติให้ในปี
พ.ศ. 2556 นั้นจะอยู่ที่
2,755.60 บาท ถูกปรับลดจากปี พ.ศ. 2555 ไป 141 บาทต่อหัว ทั้งๆ ที่ในปี
2556 นั้นมีการคำนวณจากค่ายา รวมทั้งค่าเงินเฟ้อที่เหมาะสมจะอยู่ที่
2,939.73 บาทต่อหัวประชากร
"รัฐบาลไม่น่าจะปรับเงินค่าใช้จ่ายรายหัวลดลง
เพราะทำให้เกิดแรงต้านสูงมากโดยเฉพาะจากโรงพยาบาลใหญ่ๆ
ทั้งในกรุงเทพฯ
และต่างจังหวัด
ที่พองบฯ ไม่พอก็ใช้วิธีส่งต่อไปโรงพยาบาลอื่นๆ
ซึ่งเกินความจำเป็น
และเป็นเหตุให้คนไข้เสียชีวิตก็มีมาก"
นอกจากนี้
รัฐบาลยังไม่ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการจัดงบการลงทุนด้านสาธารณสุขเลย
ทั้งการลงทุนอาควร
สถานที่ รวมทั้งเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัย
เพราะทุกวันนี้โรงพยาบาลต่างๆ
มีเครื่องมือแพทย์ที่เก่าและล้าสมัยมาก
ตรงนี้ไม่สอดคล้องกับนโยบายดูแลเรื่องสุขภาพของประชาชนที่ต้องการให้มีความเท่าเทียม
และมีการเข้าถึงได้ง่าย
ทำให้ค่าใช้จ่ายต่างๆ ของโรงพยาบาลใหญ่ๆ ไม่พอ
แถมยังกลายเป็นภาระอันหนักหน่วงเสียอีก
ที่มา www.manager.co.th
No comments:
Post a Comment