Home

http://sao-bangkhen.blogspot.com .... เว็บสำหรับให้ข้อมูลข่าวสารสมาชิกในเขตบางเขน

Wednesday, July 25, 2012

30 บาทรักษาทุกโรค'ยุคยิ่งลักษณ์ สุดห่วย!

30 บาทรักษาทุกโรค'ยุคยิ่งลักษณ์ สุดห่วย!
'หมอ'แฉลดคุณภาพยา-ห้ามรักษาเกิน 700 บาท




      ตีแผ่ปมปัญหาโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค จากรัฐบาลทักษิณ ถึง
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แม้ผ่านมา 10 ปี
กลับพบความห่วยของระบบประกันสุขภาพเพิ่มขึ้น วงการแพทย์สุดทนแฉ!
เหตุงบรายหัว 30 บาทถูกตัด
ส่งผลให้ต้องลดคุณภาพยา-สั่งหมอรักษาต่อรายห้ามเกิน 700 บาท
กระทั่งส่งต่อผู้ป่วยให้เป็นภาระโรงพยาบาลขนาดเล็ก
ระบุธรรมาภิบาลของผู้บริหาร โรงพยาบาลขนาดใหญ่ทั้ง กทม.และต่างจังหวัด
ติดลบ ใช้วิธีคุมงบด้วยการส่งต่อคนไข้และเป็นต้นเหตุผู้ป่วยตาย! ขณะที่
สปสช. ดึงงบรักษาไปใช้ผลิตแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว เชื่อไม่เกิน 10
ปีหลักสูตรนี้ล้มเหลว!


      แต่หลังจากมี พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545
และเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 19 พ.ย. 2545 ผลปรากฏว่านโยบาย
บัตรทองประกันสุขภาพมีปัญหากระท่อนกระแท่นมาโดยตลอด

      จวบจนวันนี้ผ่านมาแล้ว 10 ปี โครงการประกันสุขภาพก็ยังมีปัญหาที่หนักหน่วง

      โดยเฉพาะเรื่องการเข้าถึงสุขภาพที่ไม่ได้คุณภาพ
และโรงพยาบาลบางแห่งถึงกับมีปัญหาเรื่องธรรมาภิบาลอย่างหนัก แม้กระทั่ง
"หมอ" เองก็รับไม่ได้กับปัญหาในขณะนี้!

      ปัญหาบางอย่าง ประชาชนที่เข้ารับบริการ
การใช้บัตรทองประกันสุขภาพนั้นไม่มีทางที่จะรู้ว่ากำลังได้รับบริการที่ไม่เหมาะสม
แถมปัญหาหลายๆ อย่างกำลังเป็นปัญหาที่หนักที่ยังคงรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    บัตรทองประสุขภาพมีปัญหาทุกระดับ

      โดยแพทย์จากโรงพยาบาลโพธาราม จังหวัดราชบุรี กล่าวว่า โครงการ
บัตรทองประกันสุขภาพมีปัญหาในทุกระดับ เริ่มตั้งแต่ ตัวคนไข้, นโยบายรัฐ,
แพทย์ และโรงพยาบาล

      สำหรับโครงการ บัตรทองประกันสุขภาพนั้น
เป็นนโยบายที่ทำให้ประชาชนมาโรงพยาบาลจำนวนมาก
เพราะคิดว่าถ้ามาโรงพยาบาลอย่างไรก็จะได้ยารักษาโรคง่ายๆ
ทำให้ประชาชนไม่ดูแลสุขภาพ เมื่อรับยาได้ง่ายๆ
ก็ไม่ได้เห็นความสำคัญของยา มีการใช้ยาอย่างทิ้งๆ ขว้างๆ

      จึงเรียกได้ว่านโยบายป้องกันสุขภาพของทางรัฐบาลล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
คือประชาชนไม่สนใจป้องกันสุขภาพ
ทำให้ประชาชนมาโรงพยาบาลแม้จะเป็นโรคเล็กๆ น้อยๆ ทำให้โรงพยาบาลต่างๆ
ต้องแบกรับภาระคนไข้จำนวนมาก การรักษาจึงเกิดความผิดพลาดได้ง่าย
เมื่อเกิดความผิดพลาดก็เกิดการฟ้องร้องจำนวนมาก
โดยเฉพาะโรงพยาบาลจะถูกต่อว่าว่ามีการบริการไม่ดี มีความแออัด

      "นโยบายป้องกันโรคล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
รัฐบาลต้องการให้เห็นภาพคนในโรงพยาบาลมีจำนวนไม่เยอะ
แต่สุดท้ายมันเป็นเพียงภาพลวงตา เพราะแค่กระจายคนไข้ไปหน่วยอื่นๆ
คนไข้เท่าเดิม หมอก็เท่าเดิม แค่เดินทางไปสถานที่อื่นเท่านั้น"

      กรณีนี้เป็นปัญหามาอย่างยาวนาน พอมาในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์
จึงหาวิธีแก้ปัญหาด้วยการมีนโยบายให้ผู้ป่วยไปรักษาที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล
(รพ.สต.) หรือสถานีอนามัยเก่า นั่นเอง

      "เบาหวาน-ความดัน"ต้องไปรพ.ปฐมภูมิก่อน

      โดยแนวคิดนั้นเป็นแนวคิดที่ดี
ที่จะให้คนไข้ไปรักษาที่หน่วยปฐมภูมิและมีการคัดกรองคนไข้ให้ลดลงก่อนที่จะส่งมาโรงพยาบาลทุติยภูมิ
และตติยภูมิ แต่ในความเป็นจริงแล้ว รพ.สต.นั้นปัญหาคือไม่มีแพทย์ประจำ
คนไข้จะต้องไปเฉพาะวันที่แพทย์เข้าเวรเท่านั้น ส่วนวันอื่นๆ
หรือคนไข้ที่เป็นโรคทั่วๆ ไป จะให้พยาบาลเป็นผู้รักษาเบื้องต้น

      "ปัญหาคือคนป่วยที่เป็นโรคต่อเนื่องอย่างเบาหวาน ความดัน
ก็ต้องออกมารักษาที่ รพ.สต.ทั้งคนไข้เก่าและคนไข้ใหม่
หากอาการหนักถึงจะมีการส่งตัวไปโรงพยาบาลที่ใหญ่ขึ้น
แต่ผลปรากฏว่าได้ผลไม่ดีนัก เพราะแพทย์ไม่ใช่แพทย์เฉพาะทาง
ซึ่งคนไข้เดิมนั้นรักษากับแพทย์เฉพาะทางอยู่ แต่พอต้องออกมารักษา รพ.สต.
ที่แพทย์จะผลัดเวรกันมา
รวมกับจำนวนผู้ป่วยที่มารักษาโรคในระดับปฐมภูมิที่มีจำนวนมากอยู่แล้ว
ทำให้การรักษาแบบตรวจละเอียด โดยเฉพาะโรคเบาหวานที่ต้องเจาะเลือดนั้น
ทำได้ไม่เต็มที่"

      ในส่วนของแพทย์เองนั้น พบว่าแพทย์ก็ไม่ได้อยากมาประจำที่
รพ.สต.เนื่องจากแพทย์ตามโรงพยาบาลใหญ่ๆ
ในเวลานี้ส่วนมากเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง

      "อย่างแพทย์ศัลยกรรมกระดูก ก็ไม่อยากไปเข้าเวรที่ รพ.สต.
เพราะเมื่อไปเข้าเวร ตัวเองเป็นแพทย์กระดูก
แต่ต้องไปรักษาโรคพื้นฐานทั่วไปก็ไม่ได้ใช้ความสามารถของตัวเอง
อีกทั้งให้แพทย์เฉพาะทางอย่างแพทย์กระดูกไปตรวจเป็นแพทย์ทั่วไป
ตรงนี้ก็เป็นการหลอกประชาชน
ถือเป็นความยากลำบากในการบริหารจัดการแพทย์ทั้งระบบ
เพราะคนในโรงพยาบาลต่างจังหวัดก็มีน้อยอยู่แล้ว"

      สั่งหมอรักษาต่อหัวไม่เกิน700บาท-ลดคุณภาพยา

      นอกจากนี้ยังพบว่าปัญหาสำคัญที่สุดตั้งแต่มีโครงการ 30
บาทรักษาทุกโรคตั้งแต่รัฐบาลทักษิณ ต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์
ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี
คือเรื่องของการบริหารจัดการงบประมาณที่โรงพยาบาลต่างๆ จะต้องบริหารเอง
ในส่วนนี้มีทั้งโรงพยาบาลที่ดี และโรงพยาบาลที่ไม่มีธรรมาภิบาล

      "ค่าใช้จ่ายรายหัวกำลังเป็นปัญหามาก
เพราะค่าใช้จ่ายที่รัฐบาลให้คิดเป็นรายหัว
ไม่ได้คิดตามการรักษาเป็นครั้งๆ ดังนั้นเมื่อเหมาจ่ายไปแล้ว
ถ้าคนไข้มารักษาแบบ OPD หรือผู้ป่วยนอก บ่อยๆ โรงพยาบาลก็ขาดทุน
โรงพยาบาลก็ต้องพยายามดึงคนให้มาอยู่ในเขตการรักษาให้มากขึ้น
เพื่อเพิ่มงบบริหารจัดการของโรงพยาบาล"

      ทั้งนี้ จากการที่เคยเป็นแพทย์อยู่ในหลายท้องที่
กลับพบปัญหาใหญ่อีกอย่างหนึ่งคือ
ตัวเลขประชาชนที่ขึ้นทะเบียนกับโรงพยาบาลในพื้นที่ต่างๆ
ก็พบว่าเป็นตัวเลขหลอก

      "ตัวเลขหลอกคืออย่างในบางพื้นที่ เช่นภาคอีสาน
มีจำนวนคนอยู่ในเขตนี้จำนวนมาก ทำให้ค่าใช้จ่ายรายหัวกระจุกตัวอยู่มาก
แต่คนไปรักษาพยาบาลจริงน้อย เพราะคนภาคอีสานไม่ได้อยู่ในถิ่นฐานมากนัก
ไม่เหมือนกับภาคอื่นๆ โดยเฉพาะภาคกลาง ที่มีจำนวนคนอยู่จริงในพื้นที่พอๆ
กับตัวเลขที่แท้จริง
ปัญหาก็เลยเกิดว่าโรงพยาบาลในภาคกลางนั้นมีสภาพคล่องในการใช้จ่ายเงินต่ำ
เรียกว่ายิ่งคนไข้ visit มากยิ่งขาดทุนมาก"

      ปัญหานี้ทำให้โรงพยาบาลต้องปรับตัวแก้ปัญหาเอง
โรงพยาบาลที่ดีมีจรรยาบรรณก็จะพยายามรักษาคนไข้ให้ดีที่สุดในงบประมาณตึงตัว
แต่หลายโรงพยาบาลกลับพบว่าไม่ได้รักษาจรรยาบรรณ โดยมีทั้งการลดคุณภาพยา
การผลักไสคนไข้ให้กลับไปรักษาโรงพยาบาลต้นทางแทน

      "โรงพยาบาลดีๆ ก็จะยอมขาดทุนโดยเอายาคุณภาพดีๆ มารักษาคนไข้
แต่หลายโรงพยาบาลทำน่าเกลียด
โดยที่รู้มาโรงพยาบาลระดับโรงพยาบาลศูนย์ได้มีคำสั่งภายในให้หมอรู้กันเองว่า
ถ้าคนไข้คนไหนมีค่ารักษาพยาบาลเกินหัวละ 700 บาทเมื่อไร
ให้กลับไปรับยาที่เหลือในโรงพยาบาลปฐมภูมิ หรือทุติยภูมิแทน
แทนที่คนไข้จะได้รับยาจากโรงพยาบาลใหญ่ๆ 1 เดือนก็ได้ยาไม่ถึง 1 เดือน
ตรงนี้เป็นเทคนิคที่มีการทำกันมาก"

      รพ.ในกทม.จ่ายยาคุณภาพต่ำกว่าต่างจังหวัด

      ส่วนคนไข้ที่โรงพยาบาลทั่วไปรักษาไม่ได้
เมื่อส่งไปให้โรงพยาบาลศูนย์ผ่าตัดเสร็จ
ก็มีการให้กลับไปรับยาในโรงพยาบาลที่เล็กกว่า หรือโรงพยาบาลเดิมในแม่ข่าย
เพื่อที่โรงพยาบาลใหญ่จะได้ประหยัดงบประมาณรายหัว เป็นต้น

      "มันไปเสียหายที่คนไข้ บางคนได้ยาไปแค่ 2 เม็ด
เสร็จแล้วต้องไปขอยาโรงพยาบาลเล็กกว่าแทน
ลักษณะนี้เป็นการบริหารจัดการภายในเมื่อเห็นว่าจะขาดทุน
ก็ใช้เทคนิคในการหลบเลี่ยง"

      อย่างไรก็ดี แม้โรงพยาบาลในต่างจังหวัดจะมีข้อจำกัด
แต่กลับพบว่าปัญหาโรงพยาบาลในเขตกรุงเทพมหานครน่าเป็นห่วงมากกว่า

      "พื้นที่ในเขต กทม.นั้น มีการกระจายการรักษาที่น้อยกว่า
มีการกระจุกตัวมากกว่า
การเข้าถึงการรักษาพยาบาลทำได้น้อยกว่าโรงพยาบาลในต่างจังหวัด
ที่สำคัญเนื่องจากคนไข้มีจำนวนมากและกระจุกตัวตามโรงพยาบาลใหญ่ๆ
ทำให้มาตรฐานคุณภาพยาที่ให้คนไข้ยิ่งต่ำกว่าโรงพยาบาลในต่างจังหวัด"

      ฟันธง"เวชศาสตร์ครอบครัว"อีก 10 ปีล่ม


      ขณะเดียวกันการที่กระทรวงสาธารณสุข
มีนโยบายให้ประชาชนไปรักษาพยาบาลที่หน่วยปฐมภูมิมากขึ้นนั้น
เป็นเพราะมีการผลักดันหลักสูตรแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว
เพื่อให้แพทย์เหล่านี้ที่จบออกมาไปดูแลโรงพยาบาลในชุมชน
ตามหลักการแล้วเป็นเรื่องที่ดี
มีหน้าที่หลักในการแนะนำประชาชนให้รู้จักป้องกันโรค แต่ข้อเสียก็มีเพราะ
แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวถ้าเจอเคสที่ยากๆ
อาจจะได้แค่วินิจฉัยว่าน่าจะเป็นโรคร้าย
แต่ก็ไม่สามารถตรวจอย่างละเอียดได้ว่าเป็นจริงหรือไม่
ต้องส่งคนไข้ให้แพทย์เฉพาะทางในโรงพยาบาลใหญ่ๆ เป็นผู้วินิจฉัยอีกที

      ดังนั้น หากแพทย์ดังกล่าวเจอคนไข้ที่เป็นเคสร้ายแรง
ก็อาจจะทำการรักษาไม่ทันการได้เช่นกัน ซึ่งปัญหานี้น่าเป็นห่วง

      โดยหลักสูตรแพทย์ประจำบ้านสาขาเวชศาสตร์ครอบครัวนี้
เป็นหลักสูตรอบรมแพทย์ที่เรียนจบแพทย์มา 6
ปีแล้วมาต่อยอดเรียนเป็นหลักสูตรเวชศาสตร์ครอบครัวอีก 3 ปี
ซึ่งหลักสูตรนี้เป็นหลักสูตรความร่วมมือของกระทรวงสาธารณสุข
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
และราชวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว
ซึ่งแพทย์ที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับค่าทดแทน
และหลังเรียนจบต้องไปปฏิบัติงานที่หน่วยบริการปฐมภูมิ
โดยมีเป้าหมายเพิ่มการผลิตแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวรายใหม่ปีละ 200 ราย
เป็นระยะเวลา 5 ปี ซึ่งจะสามารถเพิ่มแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวได้ 1,000 คน

      ที่สำคัญแพทย์ที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับค่าตอบแทนเพิ่มจากที่ได้รับในระบบปกติ
ปีที่หนึ่ง 10,000 บาท/คน/เดือน ปีที่สอง 20,000 บาท/คน/เดือน
และปีที่สาม 30,000 บาท/คน/เดือน
และต้องกลับไปใช้ทุนที่ต้นสังกัดเดิมอย่างต่ำ 3 ปี
โดยหลักสูตรนี้เริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552

      ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุข พบว่า
หลักสูตรนี้มีปัญหาใหญ่คือไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เป็นวิธีการที่ผิด
ไม่มีทางเป็นไปได้ อีกทั้งเป็นการฝืนธรรมชาติของคนที่เป็นหมอ

      "รพ.สต.ปัจจุบัน
ให้พยาบาลเวชปฏิบัติตรวจรักษาคนไข้ในโรคพื้นฐานได้อยู่แล้ว
ถ้ารักษาไม่ได้ก็ส่งต่อไปโรงพยาบาลใหญ่ขึ้น แต่ทำหลักสูตรนี้ขึ้นมา
ก็ปรากฏว่าไม่มีคนเรียน เพราะไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมของคนที่เป็นหมอ"

      แหล่งข่าวจากกระทรวงสาธารณสุข อธิบายอีกว่า นโยบาย
บัตรทองประกันสุขภาพได้มีการจัดระบบการบริการสุขภาพเป็น 3 ระดับ คือ
ปฐมภูมิ ทุติยภูมิ และตติยภูมิ
โดยแต่เดิมสถานีอนามัยนั้นถือเป็นหน่วยงานที่ต้องรักษาคนไข้ที่ไม่มีภาวะซับซ้อน
ไม่มีภาวะวิกฤต ถ้าไม่ไหวค่อยส่งไปโรงพยาบาลใหญ่ขึ้น
และถ้าไม่หายก็จะมีการเชิญแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาเป็นระยะ เช่นอาทิตย์ละ 1-2
วัน ที่เหลือให้พยาบาลเวชปฏิบัติตรวจไปได้

      เมื่อมีการปรับมาเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบาล (รพ.สต.)
จึงได้มีการดึงหมอไปอยู่กับคนไข้ที่ไม่ได้มีเคสที่ป่วยหนักทุกวัน
จึงเป็นเรื่องที่ไม่คุ้มค่าอย่างยิ่ง

      ที่สำคัญเกี่ยวข้องกับเรื่องของศักดิ์ศรีของความเป็นแพทย์
เพราะแพทย์ทุกคนอยากพัฒนาสู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญ
เช่นถ้าเปรียบเทียบกับเวชศาสตร์ครอบครัวกับเวชศาสตร์ป้องกัน
แขนงระบาดวิทยา เรียน 3 ปีเท่ากัน
หมอก็อยากเรียนในหลักสูตรเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงระบาดวิทยา มากกว่า
เพราะถ้าไม่มีเวลาก็ทำงานไป สามารถสอบขึ้นทะเบียนและเรียนทางไกลได้
แต่ถ้าหลักสูตรเวชศาสตร์ครอบครัว เหมือนให้หมอมาเริ่มต้นเรียนใหม่
เสียเวลา แถมผลิตได้ปีละแค่ 50 คน

      "ซ้ำยังมีการให้เงินเดือนคนละ 10,000-30,000 บาทต่อคนต่อเดือน
ตามชั้นปีที่เรียน เงินจำนวนนี้ก็คือเงินจูงใจให้มาเรียน
แต่กลับพบว่าเป็นเงินในกองทุนหลักประกันสุขภาพนั่นแหละ
แทนที่โรงพยาบาลต่างๆ จะเอางบส่วนนี้ไปบริหารได้
ก็ต้องแบ่งสันมาให้แพทย์เรียนหลักสูตรเวชศาสตร์ครอบครัว ซึ่งดูแลไม่เกิน
10 ปี หลักสูตรนี้จะต้องพัง เพราะมันหลงทาง" แหล่งข่าวระบุ

      ตัดค่าใช้จ่ายรายหัว-ไม่หนุนงบเครื่องมือแพทย์

      นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานแพทย์ชนบท กล่าวว่า
เห็นด้วยกับการแบ่งการรักษาเป็น 3 ระดับคือการรักษาแบบปฐมภูมิ ทุติยภูมิ
และตติยภูมิ โดยจะมีการส่งต่อโดยให้ผู้ป่วยไปหาหมอที่สถานีอนามัยช่วยกลั่นกรองคนไข้ที่อาการไม่หนัก
เป็นการแบ่งเบาภาระโรงพยาบาลใหญ่ๆ หรือในต่างจังหวัดก็เป็นโรงพยาบาลตำบล
โรงพยาบาลอำเภอหรือโรงพยาบาลชุมชนก่อน
ถ้ารักษาไม่ได้ค่อยส่งต่อไปโรงพยาบาลชุมชน แล้วส่งต่อไปโรงพยาบาลจังหวัด
หรือโรงพยาบาลศูนย์ประจำภูมิภาคนั้นๆ

      โดยคิดง่ายๆ แบ่งหมอเป็น 3 ระดับ ได้แก่ หมอจบปริญญาตรี
หมอจบปริญญาโท และหมอจบปริญญาเอก จะอยู่ในโรงพยาบาลที่ต่างกัน
หมอจบปริญญาตรีก็ควรอยู่ในหน่วยปฐมภูมิ เพื่อรักษาคนไข้อาการพื้นฐาน
ส่วนหมอจบปริญญาโทก็ดูแลคนป่วยในเคสที่ยากขึ้นไปอีก เช่น
อายุรศาสตร์ทางยาทั่วไป เช่นโรคหัวใจ สูตินรีเวช เด็ก กระดูก
และหมอระดับปริญญาเอกรักษาโรคอายุรศาสตร์โรคเฉพาะทาง เช่นโรคหัวใจ
โรคมะเร็ง โรคระบบประสาททางด้านสมอง เป็นต้น
ซึ่งหมอระดับปริญญาเอกก็จะอยู่ในโรงพยาบาลศูนย์เป็นหลัก

      "ระบบนี้เป็นระบบกลั่นกรองคนไข้ ไม่ให้คนไข้มากระจุกตัวอยู่กับหมอ
หรืออาจารย์หมอเท่านั้น ซึ่งเป็นระบบที่ดี"

      ทั้งนี้ สิ่งที่เป็นห่วงคือการดูแลเรื่องงบประมาณด้านสุขภาพของรัฐบาล
โดยทุกวันนี้ต้องยอมรับว่างบประมาณรายหัวของประชากรในระบบ 30 บาทนั้น
ถือว่าคิดตามความเป็นจริงมากกระทั่งเกิดความตึงตัวในการบริหารงบประมาณของโรงพยาบาลหลายๆ
แห่ง ซึ่งต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับงบในการรักษาพยาบาลของข้าราชการที่ตกอยู่ที่ประมาณ
8,000 บาทต่อหัว ซึ่งมากกว่าระบบ 30 บาทกว่า 4 เท่า

      "โรงพยาบาลพอเห็นว่าเป็นเงินจากกองทุนข้าราชการ
ก็จะมีการคิดราคาเกินความเป็นจริง เพื่อเอางบมาไว้ที่โรงพยาบาลจำนวนมาก
ก็ไม่เคยมีใครตรวจสอบราคาการรักษาที่แท้จริง
ทำให้มีงบประมาณการรักษาที่แพงเกินจริงไปมาก"

      ขณะที่งบประมาณรายหัวของโครงการบัตรทองประกันสุขภาพถ้วนหน้าการคำนวณกันอย่างดี
แต่กลับถูกรัฐบาลปรับลดเนื่องจากปัญหาน้ำท่วมเมื่อปีที่ผ่านมา
โดยค่าใช้จ่ายรายหัวที่รัฐบาลอนุมัติให้ในปี พ.ศ. 2556 นั้นจะอยู่ที่
2,755.60 บาท ถูกปรับลดจากปี พ.ศ. 2555 ไป 141 บาทต่อหัว ทั้งๆ ที่ในปี
2556 นั้นมีการคำนวณจากค่ายา รวมทั้งค่าเงินเฟ้อที่เหมาะสมจะอยู่ที่
2,939.73 บาทต่อหัวประชากร

             "รัฐบาลไม่น่าจะปรับเงินค่าใช้จ่ายรายหัวลดลง
เพราะทำให้เกิดแรงต้านสูงมากโดยเฉพาะจากโรงพยาบาลใหญ่ๆ ทั้งในกรุงเทพฯ
และต่างจังหวัด ที่พองบฯ ไม่พอก็ใช้วิธีส่งต่อไปโรงพยาบาลอื่นๆ
ซึ่งเกินความจำเป็น และเป็นเหตุให้คนไข้เสียชีวิตก็มีมาก"

      นอกจากนี้
รัฐบาลยังไม่ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการจัดงบการลงทุนด้านสาธารณสุขเลย
ทั้งการลงทุนอาควร สถานที่ รวมทั้งเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัย
เพราะทุกวันนี้โรงพยาบาลต่างๆ มีเครื่องมือแพทย์ที่เก่าและล้าสมัยมาก
ตรงนี้ไม่สอดคล้องกับนโยบายดูแลเรื่องสุขภาพของประชาชนที่ต้องการให้มีความเท่าเทียม
และมีการเข้าถึงได้ง่าย ทำให้ค่าใช้จ่ายต่างๆ ของโรงพยาบาลใหญ่ๆ ไม่พอ
แถมยังกลายเป็นภาระอันหนักหน่วงเสียอีก

ที่มา www.manager.co.th

No comments:

Post a Comment