เคาะข้อดี
"เด็กสายอาชีพ" ที่พ่อแม่อาจมองข้าม
เมื่อเอ่ยถึง การศึกษาในสายอาชีพ หรืออาชีวศึกษา
เชื่อว่าหลายคนคงมีแต่ภาพในแง่ลบ
โดยเฉพา่ะกับตัวเด็กที่ชอบยกพวกตีกันจนกลายเป็นข่าวให้เห็นอยู่บ่อยครั้งตามหน้าหนังสือพิมพ์
และสื่อต่าง ๆ ทำให้พ่อแม่จำนวนไม่น้อยส่ายหัวกับสถานศึกษาดังกล่าวนี้
และเลือกที่จะส่งลูกไปเรียนสายสามัญแทน
เนื่องจากไม่มั่นใจในความปลอดภัยของลูก
อีกทั้งยังมองไม่เห็นการเติบโตในอาชีพการงานของเด็กกลุ่มนี้เท่าที่ควร
แต่ในความจริงแล้ว สมพงษ์ จิตระดับ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.)
ชี้แจงพร้อมกับให้ข้อมูลว่า กลุ่มเด็กที่สร้างปัญหามีเพียง 1-3
เปอร์เซ็นต์ของเด็กอาชีวะเท่านั้น
ซึ่งไม่อยากให้พ่อแม่เหมารวมอาชีวศึกษาทุกแห่ง เนื่องจากหลาย ๆ
แห่งเป็นสถานศึกษาที่สามารถผลิตบุคลากรป้อนเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ทั้งในระดับท้องถิ่นไปจนถึงระดับโลก
ดังนั้น อยากให้มองในมุมบวกมากกว่ามุมลบ และขอให้เชื่อมั่นว่า
การส่งลูกเข้าเรียนในสายอาชีพได้เปรียบกว่าสายสามัญแน่นอน
โดยเฉพาะความละเอียดและความคิดสร้างสรรค์ในงานฝีมือเชิงศิลปะ
รวมไปโอกาสและมีทางเลือกที่หลากหลายในการประกอบอาชีพ
"ทุกวันนี้ การเรียนในสายสามัญโดยพุ่งเป้าไปสู่ระดับปริญญาตรี
ได้กลายเป็นเส้นเลือดใหญ่ไปแล้ว แต่กลับพบคนตกงานเยอะมาก
ขณะที่การเรียนในสายอาชีพ แม้ว่าจะถูกมองเป็นเส้นเลือดรอง
กลับมีความสำคัญมากกว่า โดยเฉพาะโอกาสในการเข้าสู่แรงงานฝีมือระดับกลาง
ซึ่งเรากำลังส่งเสริมการศึกษาแบบผิด ๆ มุ่งธุรกิจการศึกษากันมากขึ้น
หากยังย่ำอยู่แบบนี้
ส่วนตัวมองว่าอันตรายมากสำหรับอนาคตของประเทศที่จะก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในอีก
3 ปีข้างหน้า เพราะในเมื่อเด็กไทยไม่เรียน
เพื่อนบ้านก็จะส่งคนของเขาเข้ามาเรียนแทน อีกหน่อย
แรงงานระดับกลางของไทยกว่าครึ่งจะถูกแทนที่ด้วยแรงงานต่างชาติ
แล้วคิดดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเด็กไทย" กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
สสค.ฝากให้คิด
ด้าน ดร.ประสาน ประวัติรุ่งเรือง
ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคโนโลยีสนามบริหารธุรกิจ (SBAC) จ.นนทบุรี
เ้ผยข้อดีของการเรียนอาชีวะอย่างตรงไปตรงมาภายหลังจบงานเปิดตัวโครงการ
TOA Build Thailand สร้างไทยให้ยั่งยืน ปี 2 เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า
การเรียนในสายอาชีวะ
นอกจากภาพลบในแง่ของการทะเลาะวิวาทที่มีอยู่น้อยแห่งแล้ว หลาย ๆ
สถาบันยังมีจุดแข็งอีกหลายเรื่องที่พ่อแม่อาจมองข้ามไป
ยกตัวอย่างทักษะทางด้านฝีมือที่มีความได้เปรียบกว่าเด็กสายสามัญ
รวมไปถึงความอดทน และความละเอียดรอบคอบในการสร้างสรรค์งาน
ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นต่อการสร้างช่องทางอาชีพ หรือเริ่มต้นธุรกิจใหม่ ๆ
ในอนาคตได้เป็นอย่างดี
\
"เด็กที่เรียนอาชีวะ ผมยืนว่าได้เลยว่า มีงานทำแน่นอน
โดยเฉพาะในตลาดแรงงานระดับกลาง
ทั้งยังสามารถพัฒนาตัวเองเข้าสู่ระดับบริหารในระดับสูง ๆ ต่อไปได้
นอกจากนั้น การมีทักษะฝีมือที่ดีแถมมีประสบการณ์ด้วยแล้ว
ย่อมมีโอกาสก้าวหน้าได้เร็วกว่า ทั้งยังสามารถต่อยอดในระดับปริญญาตรี
ปริญญาโท และปริญญาเอกได้ด้วย ไม่ใช่ว่าเรียนอาชีวะแล้วจะจบออกมาแค่ ปวช.
หรือปวส. เท่านั้น อย่างผมเองก็เรียนสายอาชีวะมาเหมือนกัน
ปัจจุบันมีหน้าที่การงานที่ดีไม่ต่างจากเพื่อน ๆ ที่เรียนในสายสามัญ"
ดร.ประสานเล่า
สอดรับกับผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2554
ถึงแม้จะพบเยาวชนมีอัตราการว่างงานลดลงจากร้อยละ 3.8 เป็นร้อยละ 2.9
เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคมปี 2554
แต่กลับพบว่าแรงงานที่จบระดับอุดมศึกษากลับเป็นกลุ่มที่ตกงานสูงสุดจำนวนถึง
98,000 คน (ร้อยละ 1.4) ขณะที่ตำแหน่งงานว่าง 10 อันดับแรก กว่า 74,530
อัตรา จากข้อมูลของกรมการจัดหางานในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
พบความน่าสนใจว่า ต้องการเด็กจบอาชีวศึกษาเกือบครึ่ง ได้แก่
แรงงานด้านการผลิต จำนวน 23,894 อัตรา ช่างเทคนิค 2,007 อัตรา ช่างไฟฟ้า
1,579 อัตรา เป็นต้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ หลาย ๆ ประเทศในกลุ่มอาเซียน
เริ่มเล็งเห็นความสำคัญของอาชีวศึกษาที่จะเป็นประโยชน์ต่อพลเมืองเด็กของเขาในอนาคต
จึงได้กำหนดสัดส่วนให้เด็กที่เรียนอาชีวะมีมากกว่ามหาวิทยาลัย เช่น
ประเทศสิงคโปร์ กำหนดที่นั่งให้มหาวิทยาลัยเพียง 30 เปอร์เซ็นต์
และอาชีวศึกษา 70 เปอร์เซ็นต์ ส่วนประเทศพม่า
ได้เน้นและให้ความสำคัญกับทักษะวิชาชีพ
โดยจ้างบริษัทต่างประเทศเข้ามาสอนทั้งครูและนักศึกษา
แต่พอหันกลับมาที่ประเทศไทย ศรีวิการ์ เมฆธวัชชัยกุล
อดีตรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ บอกว่า จากการศึกษาใน 10
กลุ่มประเทศอาเซียน เด็กอาชีวะของไทยเป็นรองเฉพาะสิงคโปร์
แต่หากยังหลงระเริงในสิ่งนี้จะเป็นอันตรายมาก
ทางที่ดีควรให้ความใส่ใจกับระดับอาชีวศึกษา
เพราะจะเป็นการปรับเปลี่ยนที่สำคัญ
"การเพิ่มสัดส่วนเด็กที่เรียนอาชีวศึกษานั้น
สามารถทำได้ด้วยการจับมือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
(สพฐ.) ด้วยการสร้างห้องเรียนอาชีวะในโรงเรียนสพฐ.ซึ่งจะไม่เกิดปัญหาค่าใช้จ่ายรายหัว
โดยอาชีวะเป็นผู้จ่ายให้กับสพฐ.
และยังช่วยให้พ่อแม่รู้สึกปลอดภัยในการส่งลูกมาเรียนอีกด้วย"
อดีตรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการเสนอโมเดลโรงเรียนอาชีวะในโรงเรียนสพฐ.
พร้อมกับฝากต่อไปว่า
ทุกฝ่ายต้องช่วยกันสร้างเจตคติของพ่อแม่ผู้ปกครองให้เห็นความสำคัญของการเรียนในสายอาชีวศึกษา
เรียนแล้วได้ปริญญาตรี มีงานทำ และสามารถเป็นผู้ประกอบการได้ด้วย
"อยากให้พ่อแม่ผู้ปกครองทุกท่านเปิดใจ และมองในด้านดี ๆ
ของการส่งลูกเข้าเรียนในสายอาชีวศึกษา เพราะเด็กที่จบออกมาแล้ว
มีโอกาสและช่องทางให้เลือกมากมาย ไม่ต้องไปแข่งขันกันตกงาน
เนื่องจากมีครู และผู้เชี่ยวชาญเข้ามาสอนทางด้านทักษะฝีมือโดยตรง
ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการทำงานและสร้างอาชีพในอนาคต นอกจากนั้น
ในโลกยุคหน้า รวมถึงยุคนี้ หลาย ๆ แห่งไม่ได้เลือกคนที่ปริญญากันแล้ว
แต่เลือกคนโดยมองว่า คุณทำอะไรได้บ้าง
ซึ่งบางคนเสียเงินเรียนจบปริญญาแล้วยังตกงานก็มีให้เห็นอยู่
แต่ถ้าเด็กมีทักษะและความรู้ในการสร้างอาชีพ ความได้เปรียบก็จะมีมากกว่า"
อดีตรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการสรุป
เมื่อเอ่ยถึง การศึกษาในสายอาชีพ หรืออาชีวศึกษา
เชื่อว่าหลายคนคงมีแต่ภาพในแง่ลบ
โดยเฉพา่ะกับตัวเด็กที่ชอบยกพวกตีกันจนกลายเป็นข่าวให้เห็นอยู่บ่อยครั้งตามหน้าหนังสือพิมพ์
และสื่อต่าง ๆ ทำให้พ่อแม่จำนวนไม่น้อยส่ายหัวกับสถานศึกษาดังกล่าวนี้
และเลือกที่จะส่งลูกไปเรียนสายสามัญแทน
เนื่องจากไม่มั่นใจในความปลอดภัยของลูก
อีกทั้งยังมองไม่เห็นการเติบโตในอาชีพการงานของเด็กกลุ่มนี้เท่าที่ควร
แต่ในความจริงแล้ว สมพงษ์ จิตระดับ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.)
ชี้แจงพร้อมกับให้ข้อมูลว่า กลุ่มเด็กที่สร้างปัญหามีเพียง 1-3
เปอร์เซ็นต์ของเด็กอาชีวะเท่านั้น
ซึ่งไม่อยากให้พ่อแม่เหมารวมอาชีวศึกษาทุกแห่ง เนื่องจากหลาย ๆ
แห่งเป็นสถานศึกษาที่สามารถผลิตบุคลากรป้อนเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ทั้งในระดับท้องถิ่นไปจนถึงระดับโลก
ดังนั้น อยากให้มองในมุมบวกมากกว่ามุมลบ และขอให้เชื่อมั่นว่า
การส่งลูกเข้าเรียนในสายอาชีพได้เปรียบกว่าสายสามัญแน่นอน
โดยเฉพาะความละเอียดและความคิดสร้างสรรค์ในงานฝีมือเชิงศิลปะ
รวมไปโอกาสและมีทางเลือกที่หลากหลายในการประกอบอาชีพ
"ทุกวันนี้ การเรียนในสายสามัญโดยพุ่งเป้าไปสู่ระดับปริญญาตรี
ได้กลายเป็นเส้นเลือดใหญ่ไปแล้ว แต่กลับพบคนตกงานเยอะมาก
ขณะที่การเรียนในสายอาชีพ แม้ว่าจะถูกมองเป็นเส้นเลือดรอง
กลับมีความสำคัญมากกว่า โดยเฉพาะโอกาสในการเข้าสู่แรงงานฝีมือระดับกลาง
ซึ่งเรากำลังส่งเสริมการศึกษาแบบผิด ๆ มุ่งธุรกิจการศึกษากันมากขึ้น
หากยังย่ำอยู่แบบนี้
ส่วนตัวมองว่าอันตรายมากสำหรับอนาคตของประเทศที่จะก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในอีก
3 ปีข้างหน้า เพราะในเมื่อเด็กไทยไม่เรียน
เพื่อนบ้านก็จะส่งคนของเขาเข้ามาเรียนแทน อีกหน่อย
แรงงานระดับกลางของไทยกว่าครึ่งจะถูกแทนที่ด้วยแรงงานต่างชาติ
แล้วคิดดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเด็กไทย" กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
สสค.ฝากให้คิด
ด้าน ดร.ประสาน ประวัติรุ่งเรือง
ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคโนโลยีสนามบริหารธุรกิจ (SBAC) จ.นนทบุรี
เ้ผยข้อดีของการเรียนอาชีวะอย่างตรงไปตรงมาภายหลังจบงานเปิดตัวโครงการ
TOA Build Thailand สร้างไทยให้ยั่งยืน ปี 2 เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า
การเรียนในสายอาชีวะ
นอกจากภาพลบในแง่ของการทะเลาะวิวาทที่มีอยู่น้อยแห่งแล้ว หลาย ๆ
สถาบันยังมีจุดแข็งอีกหลายเรื่องที่พ่อแม่อาจมองข้ามไป
ยกตัวอย่างทักษะทางด้านฝีมือที่มีความได้เปรียบกว่าเด็กสายสามัญ
รวมไปถึงความอดทน และความละเอียดรอบคอบในการสร้างสรรค์งาน
ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นต่อการสร้างช่องทางอาชีพ หรือเริ่มต้นธุรกิจใหม่ ๆ
ในอนาคตได้เป็นอย่างดี
\
"เด็กที่เรียนอาชีวะ ผมยืนว่าได้เลยว่า มีงานทำแน่นอน
โดยเฉพาะในตลาดแรงงานระดับกลาง
ทั้งยังสามารถพัฒนาตัวเองเข้าสู่ระดับบริหารในระดับสูง ๆ ต่อไปได้
นอกจากนั้น การมีทักษะฝีมือที่ดีแถมมีประสบการณ์ด้วยแล้ว
ย่อมมีโอกาสก้าวหน้าได้เร็วกว่า ทั้งยังสามารถต่อยอดในระดับปริญญาตรี
ปริญญาโท และปริญญาเอกได้ด้วย ไม่ใช่ว่าเรียนอาชีวะแล้วจะจบออกมาแค่ ปวช.
หรือปวส. เท่านั้น อย่างผมเองก็เรียนสายอาชีวะมาเหมือนกัน
ปัจจุบันมีหน้าที่การงานที่ดีไม่ต่างจากเพื่อน ๆ ที่เรียนในสายสามัญ"
ดร.ประสานเล่า
สอดรับกับผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2554
ถึงแม้จะพบเยาวชนมีอัตราการว่างงานลดลงจากร้อยละ 3.8 เป็นร้อยละ 2.9
เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคมปี 2554
แต่กลับพบว่าแรงงานที่จบระดับอุดมศึกษากลับเป็นกลุ่มที่ตกงานสูงสุดจำนวนถึง
98,000 คน (ร้อยละ 1.4) ขณะที่ตำแหน่งงานว่าง 10 อันดับแรก กว่า 74,530
อัตรา จากข้อมูลของกรมการจัดหางานในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
พบความน่าสนใจว่า ต้องการเด็กจบอาชีวศึกษาเกือบครึ่ง ได้แก่
แรงงานด้านการผลิต จำนวน 23,894 อัตรา ช่างเทคนิค 2,007 อัตรา ช่างไฟฟ้า
1,579 อัตรา เป็นต้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ หลาย ๆ ประเทศในกลุ่มอาเซียน
เริ่มเล็งเห็นความสำคัญของอาชีวศึกษาที่จะเป็นประโยชน์ต่อพลเมืองเด็กของเขาในอนาคต
จึงได้กำหนดสัดส่วนให้เด็กที่เรียนอาชีวะมีมากกว่ามหาวิทยาลัย เช่น
ประเทศสิงคโปร์ กำหนดที่นั่งให้มหาวิทยาลัยเพียง 30 เปอร์เซ็นต์
และอาชีวศึกษา 70 เปอร์เซ็นต์ ส่วนประเทศพม่า
ได้เน้นและให้ความสำคัญกับทักษะวิชาชีพ
โดยจ้างบริษัทต่างประเทศเข้ามาสอนทั้งครูและนักศึกษา
แต่พอหันกลับมาที่ประเทศไทย ศรีวิการ์ เมฆธวัชชัยกุล
อดีตรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ บอกว่า จากการศึกษาใน 10
กลุ่มประเทศอาเซียน เด็กอาชีวะของไทยเป็นรองเฉพาะสิงคโปร์
แต่หากยังหลงระเริงในสิ่งนี้จะเป็นอันตรายมาก
ทางที่ดีควรให้ความใส่ใจกับระดับอาชีวศึกษา
เพราะจะเป็นการปรับเปลี่ยนที่สำคัญ
"การเพิ่มสัดส่วนเด็กที่เรียนอาชีวศึกษานั้น
สามารถทำได้ด้วยการจับมือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
(สพฐ.) ด้วยการสร้างห้องเรียนอาชีวะในโรงเรียนสพฐ.ซึ่งจะไม่เกิดปัญหาค่าใช้จ่ายรายหัว
โดยอาชีวะเป็นผู้จ่ายให้กับสพฐ.
และยังช่วยให้พ่อแม่รู้สึกปลอดภัยในการส่งลูกมาเรียนอีกด้วย"
อดีตรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการเสนอโมเดลโรงเรียนอาชีวะในโรงเรียนสพฐ.
พร้อมกับฝากต่อไปว่า
ทุกฝ่ายต้องช่วยกันสร้างเจตคติของพ่อแม่ผู้ปกครองให้เห็นความสำคัญของการเรียนในสายอาชีวศึกษา
เรียนแล้วได้ปริญญาตรี มีงานทำ และสามารถเป็นผู้ประกอบการได้ด้วย
"อยากให้พ่อแม่ผู้ปกครองทุกท่านเปิดใจ และมองในด้านดี ๆ
ของการส่งลูกเข้าเรียนในสายอาชีวศึกษา เพราะเด็กที่จบออกมาแล้ว
มีโอกาสและช่องทางให้เลือกมากมาย ไม่ต้องไปแข่งขันกันตกงาน
เนื่องจากมีครู และผู้เชี่ยวชาญเข้ามาสอนทางด้านทักษะฝีมือโดยตรง
ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการทำงานและสร้างอาชีพในอนาคต นอกจากนั้น
ในโลกยุคหน้า รวมถึงยุคนี้ หลาย ๆ แห่งไม่ได้เลือกคนที่ปริญญากันแล้ว
แต่เลือกคนโดยมองว่า คุณทำอะไรได้บ้าง
ซึ่งบางคนเสียเงินเรียนจบปริญญาแล้วยังตกงานก็มีให้เห็นอยู่
แต่ถ้าเด็กมีทักษะและความรู้ในการสร้างอาชีพ ความได้เปรียบก็จะมีมากกว่า"
อดีตรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการสรุป
No comments:
Post a Comment